วันศุกร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2553

อุณหภูมิกับการทำงานในร่างกาย

อุณหภูมิกับการทำงาน
 
ไม่ใช่ความร้อนและความเย็นของอากาศอย่างเดียวที่มีผลต่อการทำงาน ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีก เช่น อุณหภูมิของเครื่องจักรหรืออุปกรณ์ที่อยู่ใกล้คนทำงาน ความชื้น และการไหลเวียนของอากาศ
ในฉบับนี้จึงขอเสนอเรื่องเกี่ยวกับการปรับอุณหภูมิให้เหมาะสมกับการทำงานแต่ละประเภท โดยจะเริ่มด้วยกลไกการควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย ปัจจัยต่างๆ ที่มีผลต่ออุณหภูมิของร่างกาย และข้อแนะนำในการทำงานในที่ที่มีอาการร้อน

ร่างกายควบคุมอุณหภูมิได้อย่างไร ?
อุณหภูมิร่างกายแกนกลางจะมีค่าประมาณ 37 องศาเซลเซียส และเปลี่ยนแปลงได้ไม่เกิน 1 องศาเซลเซียส ร่างกายจึงต้องมีกระบวนการที่ควบคุมอุณหภูมิ ดังนี้
  • ถ่ายเทหรือเก็บความร้อนด้วยระบบหลอดเลือดส่วนปลาย เช่น เมื่ออุณหภูมิภายในแกนกลางสูงเกินไป หลอดเลือดบริเวณผิวจะขยายตัว เพื่อนำความร้อนภายในถ่ายออกสู่บรรยากาศภายนอก สังเกตว่าเมื่อทำงานในที่ร้อน ผิวหนังบริเวณใบหน้า แขน ขา จะมีสีแดง
  • การหลั่งเหงื่อ เพื่อนำความร้อนออกจากร่างกายด้วยการระเหยของเหงื่อ
  • การสั่น เกิดขึ้นเมื่ออุณหภูมิแกนกลางเย็นเกินไป กล้ามเนื้อจะสั่นเพื่อเพิ่มอุณหภูมิแกนกลาง

การถ่ายเทความร้อนระหว่างร่างกายกับสิ่งแวดล้อม
อาจจะเปรียบการถ่ายเทความร้อนได้เหมือนกับการไหลของน้ำที่จะต้องไหลจากที่สูงไปสู่ที่ต่ำเสมอ ความร้อนก็เช่นเดียวกัน จะมีการถ่ายเทความร้อนจากที่มีอุณหภูมิสูงไปสู่ที่มีอุณหภูมิต่ำ การถ่ายเทความร้อนจะเกิดขึ้นได้ด้วยวิธีการต่อไปนี้
  • การแผ่รังสี ร่างกายและเครื่องจักรที่มีความร้อนสูงสามารถแผ่รังสีความร้อนไปยังวัตถุที่อยู่ใกล้เคียงได้ โดยไม่ต้องอาศัยตัวกลาง ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ การแผ่รังสีความร้อนของดวงอาทิตย์ มายังคนทำงานในขณะอยู่กลางแดด การทำงานใกล้เครื่องจักรที่ร้อน
  • การนำความร้อน เป็นการแลกเปลี่ยนความร้อนโดยการสัมผัสกับวัตถุนั้นโดยตรง เช่น การสูญเสียความร้อนด้วยการยืนเท้าเปล่าบนพื้นที่เย็น การรับความร้อนจากการสัมผัสกับเครื่องจักรที่ร้อน
  • การระเหยของเหงื่อ การหลั่งเหงื่อไม่ได้ช่วยระบายความร้อนออกจากร่างกาย ถ้าไม่มีการระเหยของเหงื่อ
    นอกจากอุณหภูมิของสิ่งแวดล้อมจะเป็นปัจจัยหลักที่มีผลต่อร่างกายและการทำงานแล้ว ยังมีปัจจัยอื่นที่มีความสำคัญ ได้แก่ ความชื้นในอากาศ ความเร็วของลม และเสื้อผ้าที่คนทำงานสวม
    ถ้าอยู่ในที่ที่มีอากาศชื้นและร้อน เหงื่อจะระเหยได้ยาก คนทำงานจะรู้สึกร้อนกว่าปกติ ความเร็วของลมมีผลทำให้อุณหภูมิร่างกายลดลงได้จากการพาความร้อน และทำให้เหงื่อระเหยได้ง่ายขึ้น
    ถ้าคนทำงานกลางแดดที่มีอากาศร้อนสวมใส่เสื้อผ้าที่หนาเกินไปจะทำให้การระเหยของเหงื่อ และพาความร้อนจากลมเป็นไปได้ยาก คนทำงานจะรู้สึกร้อนกว่าปกติ

โซนสบาย
ถ้านำคนทำงานสำนักงานจำนวนหนึ่งมานั่งในห้องที่สามารถปรับอุณหภูมิได้ และที่มีความชื้นสัมพันธ์ประมาณร้อยละ 40 และถามพนักงานว่ามีความสบายมากที่สุดที่อุณหภูมิเท่าใด ส่วนใหญ่จะตอบว่าอยู่ในช่วง 20-27 องศาเซลเซียส
ดังนั้น การปรับอุณหภูมิห้องทำงานควรมีค่าประมาณ 25 องศาเซลเซียส ที่อุณหภูมินี้พนักงานที่ทำงานนั่งโต๊ะส่วนใหญ่จะรู้สึกสบายและมีการหลั่งเหงื่อเพียงเล็กน้อย สำหรับงานที่หนักใช้พลังงานมากจำเป็นต้องลดอุณหภูมิห้องลงเพราะอุณหภูมิร่างกายจะร้อนชื้น ในงานที่หนักมากเช่น พนักงานยกขนที่ต้องทำงานตลอดเวลา ควรทำงานอยู่ในที่มีอุณหภูมิ 21 องศาเซลเซียสหรือต่ำกว่านั้น

ความชื้นและความเร็วของลม
ความชื้นสัมพันธ์ที่คนทำงานรู้สึกสบายมีค่าอยู่ระหว่างร้อยละ 30-70 เมื่อทำงานที่อุณหภูมิ 18-24 องศาเซลเซียส ถ้าอุณหภูมิที่ทำงานต่ำ เช่น 18 องศาเซลเซียส คนทำงานจะรู้สึกเริ่มไม่สบายตัวเมื่อความชื้นสัมพันธ์มีค่ามากกว่าร้อยละ 80 ถ้าอุณหภูมิสูงขึ้นที่ 24 องศาเซลเซียส จะเริ่มไม่สบายตัวที่ความชื้นสัมพันธ์ที่ต่ำกว่าคือแค่ร้อยละ 60 ในกรณีของอากาศที่แห้งเกินไป คนทำงานจะรู้สึกหายใจไม่สะดวกและจมูกแห้งที่ความชื้นสัมพันธ์ต่ำกว่าร้อยละ 30 เช่น ในห้องปรับอากาศที่อากาศแห้งเกินไป
การมีลมพัดจะช่วยให้คนทำงานรู้สึกสบายขึ้นโดยเฉพาะผู้ที่ทำงานในที่ร้อน ความเร็วของลมจะทำให้คนทำงานในที่ที่มีอากาศเย็นรู้สึกเย็นมากขึ้น (Wind-chill Factor)

งานหนัก-งานเบากับอุณหภูมิและความชื้น
ข้อแนะนำสำหรับความหนักของงานกับอุณหภูมิและความชื้นได้สรุปไว้ (ตารางที่ 1) ในกรณีนี้คนทำงานใส่เสื้อผ้าที่เบาสบาย ทำงานในที่ความเร็วลมไม่เกิน 0.5 เมตร/วินาที และทำงานต่อเนื่องเป็นเวลา 2 ชั่วโมง
ตารางที่ 1 งานสูงสุดที่ทำได้ที่อุณหภูมิและความชื้นต่างๆ กัน
อุณหภูมิ
(องศาเซลเซียส)
ความชื้นสัมพันธ์
ร้อยละ 20ร้อยละ 40ร้อยละ 60ร้อยละ 80
27 หนักมากหนักมากหนักมากหนัก
32 หนักมากหนักปานกลางเบา
38หนักปานกลางเบาไม่ควรทำ
43ปานกลางเบาไม่ควรทำไม่ควรทำ
49เบาไม่ควรทำไม่ควรทำไม่ควรทำ
งานเบา = น้อยกว่า 120 กิโลแคลอรี/ชั่วโมง
งานหนัก = 240-300 กิโลแคลอรี/ชั่วโมง
งานปานกลาง = 120-240 กิโลแคลอรี/ชั่วโมง
งานหนักมาก = 300-420 กิโลแคลอรี/ชั่วโมง


ข้อแนะนำสำหรับคนทำงานในที่ร้อน
  • ควรให้คนทำงานมีความคุ้นเคยกับการทำงานในอากาศที่ร้อนเสียก่อน จะใช้เวลาประมาณ 12-14 วันในการปรับตัวจึงจะทำงานได้เต็มความสามารถ
  • ควรมีการพักบ่อยๆ โดยเฉพาะการทำงานในอากาศที่ร้อนและชื้น เช่น งานในเหมืองที่มีอุณหภูมิ 42 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพันธ์ร้อยละ 80 ควรพักทุก 5 นาที เป็นต้น
  • ควรดื่มน้ำปริมาณน้อยแต่บ่อยๆ เช่น ดื่มน้ำครั้งละ 1/4 ลิตรทุก 15 นาที อย่ารอให้กระหายน้ำ คนทำงานหนักมากอาจมีการหลั่งของเหงื่อได้ถึง 6 ลิตร/วัน
  • น้ำที่ดื่มควรเป็นน้ำเปล่าที่อุณหภูมิห้องหรืออุ่นเล็กน้อย น้ำเย็นจะถูกดูดซึมได้ช้ากว่าน้ำอุ่น ไม่ควรดื่มน้ำผลไม้ ชา กาแฟ เครื่องดื่มบำรุงกำลังทั้งหลาย เพราะจะทำให้กระเพาะต้องทำงานมากขึ้น อุณหภูมิร่างกายจะสูงขึ้นโดยไม่จำเป็น ผู้ที่เสียเหงื่อมากควรกินผลไม้ที่มีโพแทสเซียมสูง เช่น กล้วย หรือสับปะรด ไม่จำเป็นต้องกินเกลือแร่ ถ้าได้กินอาหารอย่างเพียงพอต่อการใช้พลังงาน
  • ในคนทำงานหน้าเตาเผาหรือเครื่องจักรที่ร้อนควรหาฉากกันความร้อนไม่ให้มีการแผ่รังสีความร้อน มาสู่คนทำงานโดยตรง
  • ทำงานในที่มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก ใช้พัดลมช่วยพาความร้อนออกจากร่างกายและการระเหยของเหงื่อ แต่ไม่ควรให้ลมพัดจากผนังหรือเครื่องจักรที่ร้อนมาสู่ตัวคนทำงาน
  • คนทำงานกลางแดดควรใส่หมวก เพื่อป้องกันการแผ่รังสีความร้อนของดวงอาทิตย์ หมวกสานของชาวบ้านจะกันแดดได้ดี มีความโปร่ง มีอากาศถ่ายเททำให้เหงื่อบริเวณศีรษะระเหยได้ง่าย อย่างไรก็ตาม ถ้ารู้สึกเพลียควรพักในที่ร่มทันที เพื่อป้องกันการเป็นลมแดด
  • ถ้าต้องทำงานในช่วงที่มีอากาศร้อนและชื้น การระเหยของเหงื่อไม่ดี ควรอาบน้ำหรือเช็ดตัวด้วยน้ำที่อุณหภูมิห้องเพื่อระบายความร้อนออกจากร่างกาย
      อย่าลืมว่า การทำงานทุกชนิดต้องปรับอุณหภูมิให้เหมาะสม ถ้าปรับไม่ได้ต้องหาวิธีไม่ให้ร่างกายมีอุณหภูมิสูงหรือต่ำเกินไป ควรพักเมื่อเริ่มรู้สึกเพลีย ดื่มน้ำให้มากในคนทำงานในที่ร้อน กินอาหารและพักผ่อนให้เพียงพอ เท่านี้ท่านจะทำงานได้มีประสิทธิภาพและปลอดภัยจากอันตรายจากการทำงานในที่ร้อน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น